วันพฤหัสบดีที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2556

9 วิธีที่จะหยุดอาการปวดหัว ภาค 3


 9 วิธีที่จะหยุดอาการปวดหัว 


เรามาติดตามวิธีการแก้อาการปวดหัวกันต่อไปเลยจร้า
7. 20.00 น. : วิตามินบีเสริม ลดความรุนแรงจากอาการปวดศีรษะ
          ผลการศึกษาจากมหาวิทยาลัยควีนส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลีย เมื่อไม่นานมานี้พบว่า การทานอาหารเสริมที่ประกอบไปด้วยวิตามินบีและโฟเลท (วิตามินในกลุ่มวิตามินบีที่ละลายน้ำได้) ช่วยลดความรุนแรงจากอาการปวดศีรษะข้างเดียว หรือไมเกรนได้อย่างมาก นักวิจัยเชื่อว่าการทานวิตามินจะช่วยลด Homocysteine ซึ่งเป็นกรดอะมิโนที่มีผลต่อการอุดตันของหลอดเลือดในสมอง
8. 21.00 น. : ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ
          เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า การดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์นั้น เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะร่างกายขาดน้ำหรือ Dehydration และอาการปวดศีรษะในวันรุ่งขึ้นซึ่งเกิดจากการเมาค้าง ภาวะร่างกายขาดน้ำนั้น เป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของอาการปวดศีรษะ ดังนั้นการดื่มน้ำในปริมาณที่เพียงพอ ก็จะเป็นอีกหนึ่งวิธีช่วยให้คุณหายปวดศีรษะได้
9. 23.00 น. : นอนให้ครบ 8 ชั่วโมง ห่างไกลไมเกรน
          การนอนหลับพักผ่อนให้ครบ 8 ชั่วโมงจะช่วยป้องกันอาการปวดศีรษะ โดยเฉพาะการปวดศีรษะเรื้อรังได้ เพราะการพักผ่อนนอนหลับมีความเกี่ยวข้องกับอาการปวดศีรษะโดยตรง หากคุณพักผ่อนเพียงพอก็จะช่วยลดความถี่ในการปวดศีรษะลงได้
กลยุทธ์สู้กับอาการปวดศีรษะทั้ง 9 ข้อที่คุณสามารถทำได้ตลอดทั้งวัน นอกจากจะช่วยให้อาการปวดศีรษะหนีหายไปแล้ว ยังทำให้คุณมีสุขภาพกายที่แข็งแรงและสุขภาพใจที่แจ่มใสอีกด้วย เรียกได้ว่าสุขภาพดีครบสูตรเลยทีเดียว

9 วิธีที่จะหยุดอาการปวดหัว ภาค 2



9 วิธีที่จะหยุดอาการปวดหัว


3. 11.45 น. : บรรเทาอาการปวดเมื่อยบริเวณต้นคอ
          เมื่อนั่งทำงานได้สักพักใหญ่ ๆ คุณคงจะเริ่มรู้สึกปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะบริเวณต้นคอที่จะรู้สึกตึงเป็นพิเศษ วิธีบรรเทาอาการปวดเมื่อยบริเวณต้นคอ คือคุณควรยืดตัวตรง เอียงหูไปทางไหล่ซ้ายและไหล่ขวาช้า ๆ ทีละข้างแล้วจึงมองขึ้นข้างบนสลับกับข้างล่าง ทำซ้ำแต่ละท่าประมาณ 4-5 ครั้งต่อ 1 เซ็ต และหาโอกาสทำให้ได้ 3 เซ็ต ใน 1 วัน

4. 13.00 น. : คลายเครียดระหว่างวันด้วยแสงสว่าง
          ใครจะรู้ว่าแสงสว่างในออฟฟิศมีผลต่ออาการปวดศีรษะเช่นกัน โดยเฉพาะแสงจากหลอดไฟที่สว่างไม่เพียงพอ หากคุณปรับแสงให้เหมาะสม จะช่วยลดอาการปวดศีรษะได้ นอกจากนี้คุณควรเดินออกไปสูดอากาศภายนอกออฟฟิศบ้าง เพื่อพักสายตาให้คลายความเหนื่อยล้าจากการมองจอคอมพิวเตอร์ แต่หากแสงสว่างภายนอกจ้าเกินไป ก็อย่าลืมใส่แว่นกันแดดด้วยนะ
5. 15.00 น. : จัดโต๊ะทำงานให้เหมาะสม ลดความปวดเมื่อยถ้าคุณจะต้องนั่งทำงานอยู่บนโต๊ะทั้งวัน ต้องแน่ใจว่าโต๊ะทำงานของคุณอยู่ในตำแหน่งที่จะไม่ก่อให้เกิดอาการปวดศีรษะ ตำแหน่งที่ถูกต้องคือโต๊ะของคุณจะต้องสูงระดับหน้าอก แทนที่จะอยู่ในระดับเอวของคุณ เพราะการจัดวางโต๊ะในระดับนี้จะช่วยให้คุณไม่ต้องโน้มตัวมากจนเกินไป ทำให้นั่งสบายขึ้น และคุณควรพยายามนั่งหลังตรง ๆ ด้วย

6. 16.00 น. : ทานอาหารว่างที่มีประโยชน์
          ถ้าคุณมีแนวโน้มว่าจะปวดศีรษะ ควรทานอาหารว่างที่มีประโยชน์ เช่น อาหารว่างเพื่อสุขภาพ เพื่อช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือด และควรหลีกเลี่ยงอาหารปรุงสำเร็จที่มีส่วนผสมของผงชูรส ซึ่งเป็นสารที่กระตุ้นให้เกิดอาการปวดศีรษะ

 แล้วมาติดตามวิธีแก้ปัญหาอีก 3 ข้อต่อในบทความหน้านะค่ะ

9 วิธีที่จะหยุดอาการปวดหัว ภาค 1


9 วิธีที่จะหยุดอาการปวดหัว


วันนี้เราขอนำเสนอวิธีแก้อาการปวดศีรษะเพราะอาการปวดศีรษะนั้นเป็นภัยอยู่ใกล้ตัวเราทุกคน ยิ่งสาว ๆ คนไหนทำงานแบบลืมพักผ่อน รับรองว่าอาการปวดศีรษะจะมาเคาะประตูเยี่ยมเยือนบ่อยยิ่งกว่าบ่อยแน่นอน ยิ่งช่วงไหนทั้งพักผ่อนน้อย ทั้งเครียด และมีประจำเดือนแล้วล่ะก็ อาการปวดศีรษะจะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น เสียจนยาแก้ปวดแทบจะเอาไม่อยู่เลยทีเดียว แต่อย่าเพิ่งกังวลเรามี 9 วิธี หยุดทรมานจากอาการปวดศีรษะมาฝาก

1. 6.30 น. : ออกกำลังกายรับวันใหม่
          การออกกำลังกายทุกวันนั้น นอกจากจะช่วยให้คุณมีรูปร่างที่ดีและร่างกายแข็งแรงแล้ว ยังช่วยป้องกันอาการปวดศีรษะอีกด้วย ผลการศึกษาจากอาสาสมัครชาวอเมริกันพบว่า คุณผู้หญิงที่มีดัชนีมวลกายตั้งแต่ 30 ขึ้นไป มีแนวโน้มที่จะต้องรบกับอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรง มากกว่าคุณผู้หญิงที่มีค่าดัชนีมวลกายต่ำกว่า

2. 9.00 น. : กาแฟหนึ่งถ้วย อาจช่วยคุณได้
          หากคุณรู้สึกว่าอาการปวดศีรษะเริ่มจะมาถามหาแล้วล่ะก็ การดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคาเฟอีน อย่างชาหรือกาแฟอาจช่วยแก้ปัญหานี้ได้ เจโรเม่ ดิซอน (Jerome Dwxon) ผู้เชี่ยวชาญด้านบำบัดอาการปวดศีรษะ แนะนำว่าการบริโภคเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ที่อาจช่วยรักษาอาการปวดศีรษะ ซึ่งในรายที่หยุดบริโภคสารคาเฟอีนแบบเฉียบพลัน จะทำให้เกิดอาการปวดศีรษะขึ้นได้นั่นแสดงให้เห็นว่า สารคาเฟอีนมีส่วนช่วยในการบรรเทาอาการปวดศีรษะจริง

และมาติดตามกันต่อกับวิธีแก้อาการปวดหัวที่เหลืออีกหกข้อนะค่ะ

บำรุงหัวใจคนชราด้วยอาหารที่ปลอดไขมัน

บำรุงหัวใจคนชราด้วยอาหารที่ปลอดไขมัน




จากการศึกษาผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจและมีไขมันโคเลสเตอรอลสูง หรือ แม้แต่ยังไม่เป็นโรคหัวใจแต่ไขมันนี้สูง พบว่าการลดไขมัน โคเลสเตอรอลลงได้ ประโยชน์แน่นอน ยิ่งถ้าลดลงมากๆ ยิ่งได้ประโยชน์ เช่น ลดลงมากกว่าร้อยละ 25-30 จากระดับเดิม (แต่ต้องไม่ลดลงมามากจนเกินไป เพราะเซลสมอง ต้องการไขมันชนิดนี้ด้วย) เนื่องจากช่วยชลอการตีบของหลอดเลือดหัวใจ โดยทั่วไปการควบคุมอาหารไขมันสูงจะช่วยลดไขมันโคเลสเตอรอลในเลือดลงได้ แต่อาจลดลงได้ไม่มากนัก (น้อยกว่าร้อยละ 20) จึงอาจต้องใช้ยาร่วมด้วยในบางราย อย่างไรก็ตามการควบคุมอาหารก็ยังเป็นสิ่งจำเป็น เนื่องจากยามีราคาแพง และ จำเป็นต้อง รักษาระยะยาวจึงจะเห็นผลดีของการลดไขมันในเลือด 

ไขมันโคเลสเตอรอลเป็นไขมันที่ได่้มาจากสัตว์ จะไม่พบในพืช ยกเว้นน้ำมันปาล์ม(บางชนิด) น้ำมันมะพร้าว ปัจจุบันเราหันมาใช้น้ำมันพืช กันเกือบทั้งหมดแล้ว ซึ่งส่วนมากไม่มีโคเลสเตอรอล ไขมันชนิดนี้มีอยู่ในเนื้อสัตว์แทบทุกชนิด ที่มีอยู่มาก คือ ที่เราเห็นๆว่ามันๆ เช่น ขาหมู ข้าวมันไก่ หนังเป็ด หนังไก่ ตับหมู ตับไก่ หมูสามชั้น หมูหรือเนื้อติด อาหารพวกเนื้อสัตว์จะมีไขมันมาก แม้แต่ไม่ติดมัน ก็ตาม ยกเว้นปลาจะมีไขมันโคเลสเตอรอลต่ำ (แถมยังมีไขมันชนิดดี เช่น EPA และ DHA มากด้วย) อาหารบางอย่างที่เราไม่ ค่อยรับประทานกันมากนัก แต่มีไขมันสูง เช่น สมองสัตว์ ไข่ปลา มันปู เครื่องในสัตว์ เป็นต้น สำหรับไข่ไก่ จะมีไขมันโคเลสเตอรอล สูงมาก (เมื่อเทียบกับน้ำหนัก) แต่มีเฉพาะไข่แดงเท่านั้น ส่วนไข่ขาวไม่มีไขมัน อาหารทะเลบางชนิด เช่น กุ้ง ปลาหมึก หอยนางรม ก็มีไขมันชนิดนี้สูงเช่นกัน (แต่หากจะรับประทานกัน ตัว สองตัว นานๆครั้ง ก็คงไม่ว่ากัน) อาหารดังกล่าวเป็นอาหารที่ควรหลีกเลี่ยง อาหารปะเภท Fast Food เช่น เบอร์เกอร์ พิซซา ล้วนอุดมด้วยไขมัน 

รายงานครั้งล่าสุดเราได้พบว่าตัวการสำคัญประการหนึ่งที่ก่อให้เกิดโรคหัวใจในผู้นิยมรับประทาน Fast Food คือ สารที่เกิด จากการใช้น้ำมัน ที่ใช้ซ้ำๆในการทอดของร้าน Fast Food (เรียกว่า lipid oxidation products) Fast Food จึงเป็นอาหารที่ผู้ป่วย โรคหัวใจ ควรเลี่ยงเช่นกัน

สำหรับการทานอาหารอาหารเสริม เช่น กระเทียมสด กระเทียมบรรจุเม็ด รวมทั้ง เลซิติน (lecithin) นั้น แม้จะมีคุณสมบัติช่วย ลดไขมันในเลือดอยู่บ้าง แต่ผลนั้นน้อยมาก และไม่แน่นอน จนแทบไม่มีความสำคัญ เมื่อเปรียบเทียบกับราคาแล้ว ผมไม่แนะนำให้ซื้อหามารับประทาน



วันพุธที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2556

อาหารที่ดีต่อผู้สูงอายุ

อาหารที่ดีต่อผู้สูงอายุ




 ผู้สูงอายุต้องการการเอาใส่ใจดูและเรื่องสุขภาพมากเป็นพิเศษจากลูกหลาน เพราะว่าการรับประทานอาหารที่ดีสุขภาพจะส่งผลให้ผู้สูงอายุมีสุขภาพที่ดี ไม่เจ็บป่วยอีกด้วยวันนี้ 108 health มีข้อมูลสารอาหารที่จำเป็นทั้ง 7 ชนิดมาฝากค่ะการดูแลสุขภาพไม่ว่าจะเป็ญวัยใดเป็นสิ่งจำเป็นและสำคุญอย่างยิ่ง เพราะสุขภาพเป็นเรื่องสำคัณวันนี้ 108 health เอาข้อมูลเกี่ยวกับ 7 สารอาหารที่ผู้สูงอายุมักขาด ทำให้ผู้สูงอายุเสียสุขภาพ เพราะมักขาดสารอาหารดังต่อไปนี้
วิตามินบี 12 นั้นร่างกายผู้สูงอายุไม่สามารถดูดซึมวิตามินบี 12 ได้อย่างมีประสิทธิภาพเหมือนวัยหนุ่มสาว ทำให้มักมีอาการโลหิตจาง แนะนำให้กินอาหารที่อุดมด้วยวิตามินบี 12 ได้แก่ ปลา และโยเกิร์ต ให้บ่อยครั้งขึ้น
วิตามินดี ผู้สูงอายุนั้นที่ไม่ค่อยมีโอกาสได้รับแสงแดด อาจจะเกิดภาวะขาดวิตามินดี เนื่องจากแสงแดดจะไปกระตุ้นคอเลสเตอรอลที่ผิวหนังให้เปลี่ยนเป็นวิตามินดี จึงควรกินอาหารที่มีวิตามินดีเป็นประจำ เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า โยเกิร์ต และน้ำผลไม้ต่างๆ และพยายามออกมารับแสงแดดอ่อนๆ ทุกเช้าให้เป็นกิจวัตร เพื่อส่งผลที่ดีต่อสุขภาพ
แคลเซียม เมื่อมีอายุสูงวัย ร่างกายมักขาดแคลเซียมและเสี่ยงที่จะเป็นโรคกระดูกพรุน แหล่งอาหารที่มีแคลเซียม ได้แก่ ผักคะน้า บรอกโคลี และโยเกิร์ต และเพื่อลดปัญหาเรื่องการบดเคี้ยว อาการปากแห้ง และช่วยให้ผู้สูงอายุเจริญอาหารมาก
โพแทสเซียม สาเหตุของการขาดโพแทสเซียมในผู้สูงอายุนั้น ส่วนใหญ่มาจากการไม่ได้รับอาหารที่มีโพแทสเซียมอย่างเพียงพอ จึงควรเพิ่มผักและผลไม้ที่ให้โพแทสเซียมสูง เช่น กล้วย ลูกพรุน ลูกไหน มันฝรั่งไม่ปอกเปลือก เป็นประจำ
แมกนีเซียม เพราะความสามารถในการดูดซึมแมกนีเซียมในวัยสูงอายุลดลง และแมกนีเซียมในอาหารมักสูญเสียไประหว่างกระบวนการผลิต อาหารที่ควรกินเป็นประจำเพื่อเพิ่มแมกนีเซียม คือ ธัญพืชไม่ขัดสี ถั่วเปลือกแข็ง ถั่วฝัก เมล็ดพืชต่างๆ
ใยอาหารนั้น เนื่องจากปัญหาการบดเคี้ยวและการย่อยอาหารทำให้ผู้สูงอายุกินอาหารที่มีใยอาหารน้อยลง วิธีแก้ปัญหาคือปรุงให้อาหารนิ่มขึ้น อาหารที่มีใยอาหารมากที่ควรกินเป็นประจำ เช่น ธัญพืชไม่ขัดสี ถั่ว ผัก และผลไม้ต่างๆ
โอเมก้า 3 นั้นผู้สูงอายุจำนวนมากมักขาดกรดไขมันโอเมก้า 3 เนื่องจากมีอาหารเพียงไม่กี่ชนิดที่อุดมด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 เมื่อบวกกับความอยากอาหารที่ลดลง ทำให้มีโอกาสขาดโอเมก้า 3 สูง แนะนำให้กินอาหารต่างๆ ดังเช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า ปลาซาร์ดีน ปลาแมคเคอเรล ถั่วเหลือง น้ำมันคาโนลา ผักโขม บรอกโคลี เป็นประจำ
นอกจากผู้สูงอายุจะดูแลตัวเองแล้ว คนใกล้ชิดอย่าลืมช่วยดูแลสุขภาพอีกแรงนะคะ  เพราะไม่มีกำลังใจไหนดีเท่ากับการดูแลใกล้ชิดของลูกหลานสำหรับผู้สูงอายุอีกแล้ว ดังนั้นการดูแลสุขภาพจึงไม่ใช่เป็นเรื่องยากที่จะให้ร่างกายทีดีต่อสุขภาพ

วันจันทร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2556

โสมเกาหลีช่วยบำรุงผู้สูงวัย



โสมเกาหลีช่วยบำรุงผู้สูงวัย





โสม เป็นสมุนไพรที่ใช้กันในแถบเอเชียมานานกว่า 2,000 ปีแล้ว เดิมมีถิ่นกำเนิดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีน เกาหลี และไซบีเรีย ในตำรับเภสัชของจีน ได้กล่าวถึงสรรพคุณของรากโสมว่าช่วยทำให้อวัยวะภายในเป็นปกติ สงบ ไม่มีอารมณ์หวั่นไหว ฟุ้งซ่าน ทำให้สุขภาพดี ทำให้ตาแจ่มใส จิตใจแช่มชื่น เพิ่มความฉลาด  ในประเทศไทยมีผู้นิยมรับประทานเป็นยาบำรุงร่างกาย บำรุงกำลัง นับเป็นสมุนไพรที่มีราคาแพงโสมที่ได้รับการศึกษาวิจัยองค์ประกอบทางเคมี และนำมาใช้กันในปัจจุบันมากที่สุดมี 2 ชนิด คือ โสมเอเชีย ซึ่งนิยมเรียกว่า โสมจีน หรือโสมเกาหลีนั่นเอง และอีกชนิดคือโสมอเมริกัน โดยเฉพาะในประเทศจีน ความต้องการของตลาดสูงมาก และมีการปลูกมาก เนื่องจากเชื่อว่าการเกิดโรคต่างๆ มีสาเหตุจากความไม่สมดุลของของหยิน และหยาง และการใช้โสมสามารถปรับสมดุลร่างกายได้ ในประเทศจีนมีการใช้โสมทั้ง 2 ชนิด สำหรับโสมอเมริกัน มีสมบัติเป็นยาเย็น (yin) และโสมจีนมีสมบัติเป็นหยาง (yang) หรือยาร้อน ปกติโสมเป็นพืชที่เจริญเติบโตช้า มีความสูงของต้นเพียง 60-80 เซนติเมตรเท่านั้น และต้องรอนานถึง 6 ปี จึงจะได้รากโสมที่มีสารสำคัญทางยาในปริมาณสูงสุดเรามารู้จักสมุนไพรที่มีนามว่าโสมเกาหลี และสรรพคุณของมันที่มีผลการวิจัยที่รับรองแล้วกันดีกว่าค่ะโสมเกาหลี หรือโสมคน (Korean ginseng) ที่เราเรียกมันว่าโสมคนเนื่องจากรูปร่างของราก ที่มีลักษณะคล้ายคน มีชื่อทางพฤกษศาสตร์ว่า Panax ginseng C.A.Meyer ซึ่งเราจะจัดอยู่ในวงศ์ Araliaceae คำว่า “panax” มาจาก “panacea” แปลว่า รักษาได้สารพัดโรคโสมชนิดนี้มีถิ่นกำเนิดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีน แล้วมีการนำไปศึกษาทดลองปลูกในเกาหลี และญี่ปุ่น จนประสบความสำเร็จในเชิงการค้า ถ้าปลูก และส่งออกจากประเทศจีน มักเรียกว่า โสมจีน (Chinese ginseng)” ที่ปลูก และส่งออกจากประเทศเกาหลีมักเรียกว่า โสมเกาหลี (Korean ginseng)” เมื่อปลูกจนมีอายุครบ 6 ปี จึงจะมีตัวยาสำคัญสูงสุด โสมที่ขายในตลาดทั่วไปรวมทั้งประเทศไทย มีอยู่ 2 ชนิด นั่นก็คือโสมขาว และโสมแดง โสมแดงหรือในภาษาอังกฤษเรียกว่า(red ginsengนั่นคือโสมที่ผ่านไอน้ำอุณหภูมิประมาณ 100 องศาเซลเซียส เพื่อฆ่าเอนไซม์ และเชื้อรา ความร้อนทำให้ได้สารที่มีลักษณะคล้ายคาราเมลที่ผิวชั้นนอก (epidermis) ของราก ทำให้ได้รากโสมที่มีสีแดงอมน้ำตาล และมีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาดีกว่าโสมขาว  และราคาแพงกว่า ส่วนโสมขาวที่ในภาษาอังกฤษเราที่เรียกว่าwhite ginsengได้จากการนำรากโสมมาล้างน้ำให้สะอาด และตากแดดให้แห้ง จะมีสีน้ำตาลอ่อนถึงน้ำตาลเข้มจะมีสรรพคุณเหมือนโสมแดงแต่มีฤทธิ์อ่อนกว่าจึงทำให้ราคาถูกกว่าโสมแดง

วันอาทิตย์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2556

อาหาร 5 หมู่เพื่อคุณพ่อคุณแม่ที่เรารัก



อาหาร 5 หมู่เพื่อคุณพ่อคุณแม่ที่เรารัก







ในวัยของผู้สูงอายุนั้นจะมีความต้องการอาหารที่มีประโยชน์ครบทั้งห้าหมู่ กล่าวคือ โปรตีน คาร์โบ ไฮเดรต ไขมัน วิตามิน และเกลือแร่ เช่นเดียวกับในคนทุกอายุ แต่เนื่องจากผู้สูง อายุจะเคลื่อนไหวได้น้อยกว่า ออกกำลังกายได้น้อยกว่า มีโรคเรื้อรังต่างๆที่ต้องจำกัดทั้งประเภทและปริมาณอาหารสูงกว่า และร่างกายต้องการอาหารเพื่อการเจริญ เติบโตน้อยกว่าวัยอื่นๆ ผู้สูงอายุจึงอ้วนได้ง่ายกว่า ดังนั้นผู้สูงอายุจึงจำเป็น ต้องจำกัดอาหารหลักที่ให้พลังงานมากกว่าคนอายุอื่น นั่นคือ การจำกัดอาหารคาร์โบ ไฮเดรตและอาหารไขมัน แต่บริโภคโปรตีนในปริมาณเท่ากับในผู้ใหญ่ทั่วไป และควรต้องเพิ่มปริมาณ ผัก ผลไม้ให้มากขึ้น ผู้สูงอายุมักมีปัญหาด้านการย่อยอาหาร เพราะมีการเสื่อมถอยของเซลล์ทุกๆเซลล์ มีปัญหาของฟันและเหงือก ส่งผลต่อการเคี้ยวอาหาร น้ำลายลดลง ส่งผลทั้งต่อการเคี้ยวและการย่อย ประสิทธิภาพของน้ำย่อย ปริมาณน้ำย่อย และการเคลื่อน ไหวของกระเพาะอาหารและลำไส้ถดถอย เกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ อาหารไม่ย่อย และท้องผูกได้ง่าย ดังนั้นผู้สูงอายุจึงควรต้องบริโภคอาหารอ่อน ย่อยง่าย อาหารรสไม่จัด หลีกเลี่ยงผลไม้ดิบ หรือ ผักสดชนิดย่อยยาก และหลีกเลี่ยงอาหารประเภททอดน้ำมันโปรตีนก็จะต้องเป็นชนิดที่ย่อยง่ายเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น ปลา และไข่ ถ้าจะบริโภคเนื้อ ควรต้องปรุงให้เปื่อยยุ่ย เป็นต้น ในส่วนของไข่ แพทย์ทุกคนเห็นตรงกันว่า กินไข่ขาวได้สูงถึงวันละ 3 ฟอง ถ้ากินโปรตีนชนิดอื่นไม่ได้ แต่ในเรื่องของไข่แดง ยัง คงถกเถียงกันอยู่ เพราะการศึกษาต่างๆยังสรุปไม่ได้ชัดเจน เพราะหลายการศึกษาให้ผลว่า ถ้าไม่มีโรคประจำตัว หรือ ไขมันในเลือดสูง สามารถกินไข่รวมทั้งไข่แดง และไข่ขาวได้ถึงวันละ 2-3 ฟอง แต่แพทย์ทั่วไป ยังคงแนะนำให้กินไข่แดงได้ไม่เกิน สัปดาห์ละ 2-3 ฟองคาร์โบไฮเดรต ก็ควรจะเป็นแป้งจากธัญพืชเต็มเมล็ด หรือ ขัดสีน้อย เพื่อเพิ่มวิตามิน เกลือแร่ และใยอาหาร เลือกที่มีน้ำตาลน้อยที่สุด จำกัดอาหารมีน้ำตาลให้เหลือน้อยที่สุดจำกัดไขมันทุกประเภทให้เหลือน้อยที่สุด เพราะเป็นอาหารที่มีประโยชน์น้อยที่สุดสำหรับผู้สูงอายุ ส่วนใหญ่ให้โทษมากกว่า โดยเฉพาะโรคของหลอดเลือดควรเพิ่มผัก ผลไม้ให้มากๆ อย่างน้อยวันละ 5 มื้อได้ยิ่งดี เพื่อได้วิตามิน เกลือแร่ และใยอาหารช่วยลดการท้องผูก และไม่ทำให้อ้วน เนื่องจากเป็นอาหารกลุ่มไม่มีพลังงาน ยกเว้น ผลไม้ที่มีรสหวานทุกชนิด ควรจำกัดเช่นเดียวกับการจำกัดอาหารกลุ่มคาร์โบไฮเดรตดื่มน้ำให้ได้วันละมากๆ จะช่วยให้ร่างกายของท่านนั้นสดชื่นขึ้นมาอย่างน่ามหัศจรรย์ และจะดีมากถ้าน้ำนั้นเป็นน้ำที่อุ่นกำลังพอดี ลดอาการท้องผูก ลดโอกาสเกิดกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ลดอาการปากคอแห้ง และช่วยละลายเสมหะ ดื่มอย่างน้อย วันละ 6-8 แก้ว เมื่อไม่มีโรคต้องจำกัดน้ำดื่ม เช่น โรคหัวใจล้มเหลววิตามินเกลือแร่ เสริมอาหารทุกชนิด ควรปรึกษาแพทย์ก่อนซื้อบริโภคเองเสมอ เพราะ ตับและไตผู้สูงอายุ จะทำงานได้น้อยลง โอกาสเกิดโทษจากผลข้าง เคียงของวิตามิน เกลือแร่เสริมอาหารจึงสูงขึ้น จากการเพิ่มปริมาณสะสมในร่างกายควรต้องเลิกบุหรี่ เพราะมีสารพิษต่างๆมากมาย ก่อให้เกิดโรคของหลอดเลือด โรคหัวใจ โรคของทางเดินหายใจ โรคนอนหลับแล้วหยุดหายใจ โรคกรดไหลย้อน และเป็นสารก่อมะเร็งสำคัญ เช่น โรคมะเร็งปอด โรคมะเร็งในอวัยวะส่วนศีรษะและลำคอ และโรคมะเร็งเต้านมเราควรจะต้องจำกัดในเรื่องของการดื่มแอลกอฮอล์ เพราะจะมีผลต่อตับเพิ่มขึ้น จากการที่ตับทำงานได้น้อยลงตามอายุ และยังเป็นสาเหตุของโรคนอนหลับแล้วหยุดหายใจ และโรคกรดไหลย้อนเราควรจะต้องจำกัดในเรื่องของเครื่องดื่มที่มีกาเฟอีนให้เหลือน้อยที่สุด เช่น ชา กาแฟ โคล่า เพราะมักทำให้นอนไม่หลับ กระสับกระส่าย ใจสั่น และเพิ่มการขับน้ำออกทางปัสสาวะ จึงอาจส่งผลให้เกิดอาการวิงเวียน และ/หรือ ภาวะความดันโลหิตต่ำ โดย เฉพาะเมื่อลุกขึ้นยืนได้อย่างไรก็ตามแต่ ผู้สูงอายุ ควรได้รับสารอาหารที่หลากหลายชนิด ไม่ควรกินซ้ำๆชนิดเดียวกันต่อเนื่อง เพราะจะเกิดการสะสมสารไม่พึงประสงค์ หรือ ภาวะขาดอาหารได้ง่าย และจะทำให้ท่านนั้นเบื้ออาหารอีกด้วยดังนั้น การที่เราดูแลผู้สูงอายุในด้านการรับประทานอาหาร ก็จะต้องให้ผู้สูงอายุได้รับอาหารที่เป็นประโยชน์และครบห้าหมู่ ให้ครบถ้วน ในปริมาณที่เหมาะสมกับการใช้พลังงานของผู้สูงอายุ เพื่อไม่ให้เกิดโรคน้ำหนักเกิน และโรคอ้วน ไม่ให้เกิดการขาดอาหาร และเพื่อได้สาร อาหาร น้ำดื่ม และใยอาหารอย่างพอเพียง

วันศุกร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2556

การดูแลสุขภาพของผู้ใหญ่



การดูแลสุขภาพของผู้ใหญ่



การดูแลสุขภาพในผู้ใหญ่นั้นการเลือกรับประทานอาหารเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างหนึ่งเพราะ โดยวัยนี้ร่างกายมีการใช้พลังงานน้อยลงจากกิจกรรมที่ลดลง จึงจำเป็นอย่างมากที่เราจะต้องลดอาหารประเภทแป้ง น้ำตาล และไขมัน ให้เน้นอาหารโปรตีนจากเนื้อสัตว์ โดยเฉพาะปลา และเพิ่มแร่ธาตุที่ผู้สูงอายุมักขาด ได้แก่ แคลเซียม สังกะสี และเหล็ก ซึ่งมีอยู่ในนมถั่วเหลือง ผัก ผลไม้ ธัญพืชต่าง ๆ และควรกินอาหารประเภทต้ม นึ่ง ย่าง อบ แทนประเภทผัด ๆ ทอด ๆ จะช่วยลดปริมาณไขมันในอาหารได้ นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสหวานจัด เค็มจัด และดื่มน้ำสะอ

าดอย่างน้อย 6-8 แก้วต่อวันออกกำลังกาย  หากไม่มีโรคประจำตัว แนะนำให้ออกกำลังกายแบบแอโรบิค 30 นาทีต่อครั้ง ทำให้ได้สัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง จะเกิดประโยชน์ต่อหัวใจและหลอดเลือดอย่างมาก โดยขั้นตอนการออกกำลังกายจะต้องค่อย ๆ เริ่ม มีการยืดเส้นยืดสายก่อน แล้วค่อย ๆ เพิ่มความหนักขึ้น จนถึงระดับที่ต้องการ ทำอย่างต่อเนื่องจนถึงระยะเวลาที่ต้องการ จากนั้นค่อย ๆ ลดลงช้า ๆ และค่อย ๆ หยุดเพื่อให้ร่างกายและหัวใจได้ปรับตัว สัมผัสอากาศที่บริสุทธิ์  จะช่วยลดโอกาสการเกิดโรคได้ อาจเป็นสวนสาธารณะใกล้ ๆ สถานที่ท่องเที่ยว หรือการปรับภูมิทัศน์ภายในบ้านให้ปลอดโปร่ง สะอาด อากาศถ่ายเทสะดวก มีการปลูกต้นไม้ จัดเก็บสิ่งปฏิกูลให้เหมาะสม เพื่อลดการแพร่กระจายของเชื้อโรค และสามารถช่วยป้องกันโรคภูมิแพ้ หรือหอบหืดได้หลีกเลี่ยงอบายมุข  ได้แก่ บุหรี่และสุรา จะช่วยลดโอกาสการเกิดโรคหรือลดความรุนแรงของโรคได้ ทั้งลดค่าใช้จ่ายในการรักษา และยังช่วยป้องกันปัญหาอุบัติเหตุ อาชญากรรมต่าง ๆ อันเป็นปัญหาใหญ่ของสังคมในขณะนี้ป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ  โดยเลือกกิจกรรมให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคลและโรคที่เป็นอยู่ส่งเสริมสุขภาพให้กล้ามเนื้อมีความแข็งแรง ปรับสภาพแวดล้อมในบ้านให้ลดความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุหรือการหกล้มควบคุมน้ำหนักตัวหรือลดความอ้วน โดยควบคุมอาหารและออกกำลังกายจะช่วยทำให้เกิดความคล่องตัว ลดปัญหาการหกล้ม และความเสี่ยงต่อโรคต่าง ๆ เช่น โรคข้อเข่าเสื่อม และโรคหลอดเลือดหัวใจ เป็นต้น นอกจากนี้เราอาจจะต้องหาอาหารเสริมมาให้ท่านผู้เป็นที่รักของเราทานอยู่บ่อยๆด้วยนะค่ะเพื่อสุขภาพร่างกายของท่านจะได้กลับมาแข็งแรงเหมือนเดิมค่ะ